ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ธรรมมะละลาย ตอนที่1

๑๒ ส.ค. ๒๕๕๓

 

ธรรมะละลาย ตอนที่ ๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

 

โยม : คือตรงนี้เล่าให้ฟังก่อนว่า ชมรมพุทธเขามีปัญหาอย่างมากกับ........ค่ะ จะไม่ออกค่ายที่อื่นเลย แล้วก็ตอนนี้มีรุ่นน้องที่ยังเรียนไม่จบ บวชเยอะมากค่ะหลวงพ่อ เพราะยังเรียนไม่จบค่ะ ก็เลยเป็นห่วง

หลวงพ่อ : เขาไปปรึกษาเรากรณีนี้เหมือนกัน กรณีนี้ถ้ามันเป็นความจริงได้นะ การบวชการเรียนนี้ ถ้ามันสำเร็จหรือถ้ามันได้ประโยชน์ นี่เราก็เห็นด้วย แต่ในความเป็นจริง พระพุทธเจ้านะ “พุทธกิจ ๕” คือเวลาว่าจะไปเอาใคร พระพุทธเจ้ายังต้องเล็งญาณดูความเหมาะสม

พระพุทธเจ้าเล็งญาณนะ เล็งญาณหมายถึงว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเล็งญาณแล้วไม่มีผิดหรอก ไม่มีผิดหมายถึงว่า อย่างเช่น ถ้าเราจะปลูกข้าว แล้วเรามีพันธุ์ข้าวหรือยัง เราจะทำพืชสวนไร่นา แล้วเรามีเมล็ดพันธุ์หรือยัง เมล็ดพันธุ์เป็นเรื่องสำคัญนะ เพราะถ้าเราไม่มีเมล็ดพันธุ์ เราจะทำอะไรก็แล้วแต่ มันก็ได้แต่ที่นาร้าง เป็นไร่ที่ไม่มีเมล็ดพันธุ์ลงไป เราจะลงทุนลงแรงขนาดไหน มันก็ได้แค่นั้น เพราะไม่มีเมล็ดพันธุ์

อำนาจวาสนาบารมีของคนมันไม่เหมือนกัน ดูในมหาวิทยาลัยสิ เรียนด้วยกันนะแต่บางคนเรียนดีหมดเลย บางคนเรียนปานกลาง บางคนเรียนต้องถูๆ ไถๆ ไปกว่าจะได้

ไอ้กรณีอย่างนี้ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน แล้วบอกว่าทุกคนมาทำแล้วก็จะเป็นอย่างนั้นๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาพุทธภูมิ แล้วหลวงปู่มั่นท่านมาละพุทธภูมิ แล้วท่านมาเป็นสาวก คือ ท่านพยายามเอาตัวท่านรอดมาจนได้ เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะเอาใครนะ เพราะหลวงตาท่านเล่าให้ฟังประจำ สมัยที่ท่านอยู่บ้านผือ ท่านถามพระเลย “จิตเป็นอย่างไร... จิตเป็นอย่างไร” ถ้าจิตของคนไหนดีนะ “ต่อไปเป็นอย่างไร” แล้วท่านก็ไล่ไปเลย

พอท่านถามว่า “จิตเป็นอย่างไร” ประสาเราว่าภาวนาไม่ได้ว่าอย่างนั้นเถอะ เพราะการภาวนาถ้ายังไม่มีอำนาจวาสนาบารมี ท่านจะไม่พูดถึงเลยนะ ท่านก็ดูแลทั้งวัดนี่แหละ แต่ท่านไม่พูดถึง ไม่พูดถึงหมายถึงว่า เหมือนอย่างเช่น เด็กที่เรียนไม่ได้ แล้วเราไปจี้เขา “เป็นอย่างไร... เอาการบ้านมา ส่งมาๆ” เด็กคนนั้นตายไหม

ถ้าเด็กคนไหนทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ก็ฝึกกัน เพราะว่าการปฏิบัตินี้ คำว่าส่งการบ้านหมายถึงว่า “อ๋อ... จิตเป็นอย่างนี้ สงบอย่างนี้ จิตใช้ปัญญาอย่างนี้ อย่างนี้” เห็นไหม นี่คือการบ้าน

แล้วถ้าเราไม่มี แล้วหลวงปู่มั่นท่านไปจี้ ตัวเองจะเสียหน้าขนาดไหน ตัวเองจะอยู่กับพวกอย่างไร แล้วเรามีความไม่ดีเหรอ ทำไมเราโดนครูบาอาจารย์เอ็ดตลอดเวลา เพราะเราไม่มีการบ้านส่ง เห็นไหม นี่ไง อาจารย์ที่เป็น เขาก็ดูแลว่าเอ็งยังทำการบ้านไม่ได้ เอ็งพยายามขยันหมั่นเพียรของเอ็งไปเนาะ บวชมานี้ก็เพื่อคุณงามความดี

นี่หลวงปู่มั่นนะ พระที่เป็นครูบาอาจารย์ท่านจะเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เหมารวม เหมาเข่ง ใครอยากบวชมาเลย กูจะเอาเป็นพระอรหันต์ให้หมด ขนาดพระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้เลย

โยม : อย่างที่เขาว่า จะได้เป็นพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป

หลวงพ่อ : นั่นแหละ เราได้ยินมา เพราะหลวงปู่มั่นท่านมาเล่าให้ฟังไง หลวงปู่มั่นได้เท่าไหร่ หลวงปู่มั่นนะได้หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรม แล้วครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์นะ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นหมดเลย ๒๐-๓๐ องค์ แล้วหลวงตาได้เท่าไหร่ หลวงตานี้ได้หลวงปู่ลี อาจารย์สิงห์ทอง

โยม : แต่ท่านก็พยากรณ์ตอนนี้ รู้สึกว่าจะมีพระโสดา สกิทา อนาคาเต็มวัดไปหมดเลยค่ะ บางทีบวช ๓ เดือนก็ได้พระโสดาแล้ว

หลวงพ่อ : โสดาตราสิงห์หรือเปล่า !

โยม : ก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่มีพระอนาคามีองค์หนึ่ง ก็สึกไปแล้วค่ะ

หลวงพ่อ : แล้วเป็นได้อย่างไร ตรงนี้แหละที่มันฟ้อง เห็นไหม ว่าโสดาตราสิงห์ ! จะโสดาบันหรือไม่ใช่โสดาบันน่ะ เราขอคุยหน่อยหนึ่ง ใครจะเป็นอะไร... สาธุ ความเห็นของคนมันแตกต่างหลากหลาย แต่มาตรฐานมันมีนะ

เป็นโสดาบัน เป็นเพราะอะไร... เป็นโสดาบัน มีเหตุผลสิ่งใดรองรับว่าเป็นพระโสดาบัน... เป็นพระโสดาบัน แล้วละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เอ็งละอย่างใด ถ้าเอ็งพูดถึงการละไม่ได้ เอ็งพูดถึงเหตุผลไม่ได้ เอ็งก็เป็นโซดาตราสิงห์ ถ้าโซดาตราสิงห์นี้เอ็งไม่ต้องรับประกันกูหรอก ท้องตลาดมีเยอะแยะไป

ถ้าเป็นโสดาตราสิงห์ มันจะพลิกไปพลิกมาอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เราปฏิบัติของเรา ถ้าเรามีความจริงจัง เราก็ทำของเรา

โซดาตราสิงห์มันมีอยู่ตามท้องตลาด แต่ถ้าโสดาบัน คือเราปฏิบัติได้เอง เป็นของเราเอง แล้วไปเล่าให้ท่านฟัง ครูบาอาจารย์ท่านถึงจะรับทีหลัง ไม่มีใครรับประกันให้เราได้ เอ็งเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ใครต้องรับประกันเอ็งว่าเป็นมนุษย์บ้าง เอ็งนั่งกันอยู่นี่ ใครไปรับประกันว่าเอ็งเป็นมนุษย์ สถานะของเอ็งเป็นมนุษย์ใช่ไหม แล้วต้องให้ใครรับประกันว่าเอ็งเป็นมนุษย์

เอ็งจะเป็นโสดาบัน หรือเอ็งจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ความจริงในหัวใจนั้นมันเป็นต่างหาก ไม่ต้องให้ใครรับประกัน ! รับประกันนั่นมันของปลอมทั้งนั้น เหมือนสินค้าลอกเลียนแบบ

โยม : แต่ที่เชื่อมาก ก็เพราะเนื่องจากน้องบอกว่า ฟังเทศน์หลวงตา แล้วว่าหลวงตารับประกัน

หลวงพ่อ : หลวงตาไหน !

โยม : หลวงตามหาบัว วัดบ้านตาด

หลวงพ่อ : ขึ้นไปถามด้วยกันไหม เอ็งขึ้นไปไหม จะไปหาหลวงตาด้วยกัน หลวงปู่ลี หรือครูบาอาจารย์ อาจารย์สิงห์ทอง เคยเรียกร้องให้หลวงตารับประกันไหม โยมรับประกันได้ไหมว่า เราดีหรือเราชั่ว โยมรับประกันเราได้ไหม

โยม : ไม่ได้ค่ะ

หลวงพ่อ : แล้วใครรับประกันใคร

โยม : ตัวเองไงค่ะ

หลวงพ่อ : คนที่บอกว่ารับประกันๆ คือมันไม่มี มันกลัว มันถึงต้องให้คนรับประกัน ถ้าคนจริงต้องให้ใครรับประกัน “อริยสัจรับประกันตัวมันเอง”

เพราะอ้างกันอย่างนี้ไง อะไรก็หลวงตาทั้งนั้นแหละ อะไรก็หลวงตาทั้งนั้นแหละ หลวงตารับประกันว่า เอ็งเป็นคนดีได้ไหม นี่หลวงตาจะออกใบประกาศเลย แล้วแขวนไว้ที่คอมึง แล้วมึงออกไปนี่มึงจะไปปล้นเขาไหม

เราต้องเป็นผู้ใหญ่พอสิ รับประกันๆ นั้นเป็นลมปาก แต่พฤติกรรมการกระทำนั้นต่างหากล่ะ พฤติกรรมนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า คนมาถามเราเรื่อยว่าเราเป็นลูกศิษย์ใคร เราบอกไม่รู้ ถ้าเราบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตา แล้วถ้าไปถามหลวงตา หลวงตาจะรับเราหรือเปล่าไม่รู้ หลวงตายอมรับเราเป็นลูกศิษย์หรือเปล่าไม่รู้นะ

แต่กูอ้างหลวงตาไม่ได้หรอก ลูกศิษย์เรานั่งอยู่นี่ก็มี เราเคยอ้างไหม เราก็อยู่ของเรานี่แหละ ด้วยบากบั่น ด้วยลำแข้ง ด้วยปลีแข้งนี้

“ภิกษุหาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง” เอ็งได้ก้าวออกไป เอ็งก็ได้ข้าวกิน ถ้าเอ็งไม่ก้าวออกไปจากวัดเลย แล้วเขารับประกันว่าเดี๋ยวจะเอาข้าวมาส่งให้เอ็งกิน

โยม : แต่ในเทปของบ้านตาด ก็เห็นหลวงตาชมพระอาจารย์หลายครั้ง

หลวงพ่อ : อาจารย์ไหน

โยม : พระอาจารย์สงบองค์นี้ค่ะ

หลวงพ่อ : อันนั้นกรณีหนึ่ง เห็นไหม จริงๆ แล้วถ้าพูดนะ เอาเก็บตกที่หลวงตาพูดถึงนะ เอาไปพิมพ์ เขาเอาไปพิมพ์หนังสือกันเลยนะ

ย้อนกลับมานี่ ถ้าเราพูดอะไรไป พวกนี้เป็นพยาน อย่างพวกนี้มาหาเราที่วัดประจำ ถ้าเราโกหกนะ ถ้าเราโกหกที่นี่ อยู่ที่วัดมันก็ต้องโกหกเหมือนกัน คนโกหกที่ไหน ถ้าพูดที่นั่นมันก็โกหกไปหมด เราพูดที่นี่ก็อย่างนี้ ไปพูดที่วัดยิ่งกว่านี้อีก

ธรรมดาเราไม่อยากพูด เพราะเรามาที่นี่นะ อย่างที่ว่านั่นแหละ ที่นี่มีหลวงตาเป็นประธาน ธรรมดาแล้วที่นี่เราจะหลบ เราไม่ค่อยพูดธรรมะเท่าไหร่หรอก แต่วันนี้เพราะเรารู้เรื่องของพวกโยมพอสมควรแล้ว เราถึงพูด

เขามาขอให้เราลงแวะที่ขอนแก่น แต่เราไม่อยากแวะ เพราะว่าถ้าเราแวะนี่มันก็เหมือนว่า ที่ไหนเขามีอะไรกัน เราก็จะเหมือนหมูเขาจะหาม ชอบเอาคานไปสอด สังคมมันเลยว่าเรานี่เป็นคนเลวมาก ชอบสอดเรื่องของคนอื่นทั้งปีทั้งชาติ แต่ความจริงนี่ต้องตามหาเรากันซ่อกๆๆ กันอยู่อย่างนี้

พระพุทธเจ้าไม่เคยให้ใครรับประกัน และพระพุทธเจ้าไม่เคย.. เขาเรียกว่า “ชิงสุกก่อนห่าม” โยมเพิ่งเรียนไปนี่ แล้วบอกเลยว่าจบปริญญากันหมดแล้ว มันเป็นไปได้ไหม เรายังไม่ได้ปฏิบัติเลย แม่งเป็นโสดาบัน เป็นอนาคาไปแล้ว เอ็งต้องเรียนจบก่อนสิ พอเอ็งจบมาแล้ว กระดาษใบนั้นแค่ทำให้คนอื่นเขารับรู้ แต่ความรู้ในหัวเรานี่ต่างหากที่สำคัญ ถ้าในหัวมีแต่ขี้เลื่อย ได้กระดาษมาคนละใบ แล้วจะไปทำอะไรกิน

นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติมาแล้ว ต้องให้ใครรับประกัน ไม่จริงหรอก ถ้าบอกว่าโสดาบันหรืออะไรเต็มวัดเต็มวา มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าโสดาบันที่นั่นจะเต็มวัดนะ ที่วัดหลวงตานี่ต้องล้นวัดก่อน เข้าไปดูที่วัดหลวงตาสิ โสดาบันมีเยอะไหม

โยม : ไม่เห็นหลวงตาพูดถึงเลย

หลวงพ่อ : แล้ววัดนั้นมันจะล้นออกมาเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก

เราพยายามจะพูดบอกให้พวกเรานี่นะ เราพูดเรื่องนี้มาหลายที่ เวลาเราพูดเราบอกว่า คือเราต้องการให้มนุษย์นี้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เป็นมนุษย์สมบูรณ์ หรือมนุษย์เป็นอิสรภาพ ภราดรภาพ เสมอภาคกัน เราอย่าให้ใครจูงจมูกสิ เราเกิดมาเป็นคน แล้วจะให้คนมาครอบงำ จะให้คนมาชักนำไปนี่ มันเสียหายมาก

มีกึ๋น มีสมอง เราต้องพิจารณาสิว่า จริงหรือไม่จริง คิดก่อนสิ พระพุทธเจ้าสอนอยู่แล้ว “ก่อนเชื่ออะไรให้คิดให้พิจารณา” อย่าเชื่อตามๆ กันไป ให้คิดให้พิจารณาสิ มันเป็นจริงได้ไหมล่ะ ถ้ามันเป็นจริงได้ เราพยายามทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา แต่มันเป็นจริงได้หรือเปล่าล่ะ

การปฏิบัตินี่มรรคผลมีไหม... มี ถ้าไม่มีเราก็ไม่บวชหรอก เราบวชทำไม เพราะเรามั่นใจว่ามี แต่มีนี้ หลวงตากับหลวงปู่มั่นกว่าจะท่านจะมี กว่าท่านจะเป็นได้ ต้องเอาชีวิตนี้เข้าแลก เอาตายแลกมา แล้วคนอื่นมันจะตายกับเราไหม คนที่ทำไม่ได้ถึงระดับนั้น แล้วมันจะได้ไหม

ดูหลวงปู่มั่นสิ หลวงตาสิ หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมา เวลาท่านพูดนี่ “ธรรมะฟากตายทั้งนั้นเลย” ไอ้นี่มานั่งเจ๊าะแจ๊ะๆ กัน แล้วว่าเป็นโสดาบัน กูจะบ้าตาย !มันเป็นไปไม่ได้หรอก !

ใครจะเป็นโสดาบัน ใครจะเป็นอนาคา หรือใครจะเป็นพระอรหันต์นะ.. สาธุ แต่ขอให้กูพูดด้วยแค่คำเดียวเท่านั้นแหละ ถ้ากูยังไม่ได้พูดด้วยกูยังไม่เชื่อหรอก เป็นโสดาบันเป็นอย่างไร โซดาตราสิงห์เขายังมีน้ำบรรจุในขวดนะมึง แล้วมึงเป็นโสดาบันนี่มึงมีวุฒิ มีคุณธรรมตรงไหนวะ มึงพูดให้กูฟังหน่อยซิ เหตุผลอะไรเป็นโสดาบัน กูจะถามโสดาบันนี่แหละ เอาโสดาบันมาหาเราสิ กูถามคำเดียว ถ้าโสดาบันตอบได้ กูจะว่าเอ้า..มึงเป็นจริง

“เอ้า... เป็นโสดาบัน ทำอย่างไรถึงเป็นโสดาบันล่ะ”

“ก็เขาให้เป็นน่ะ”

โยม : หลวงพ่อ........ท่านรับรองคะ แค่บวช ๓ เดือนเองค่ะ

หลวงพ่อ : ก็เขาให้เป็นโสดาบัน แล้วมึงเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้าเขาบอกว่าเอ็งเป็นเศรษฐีนะ แต่เอ็งไม่มีตัง แล้วเขาว่าเอ็งเป็นเศรษฐีนะ พวกนี้เป็นเศรษฐีหมดเลย แต่มึงยังแบมือขอตังแม่มึงอยู่เลย แล้วว่าเป็นเศรษฐี

โยม : แต่ท่านพยากรณ์ว่าให้บวช คือเวลาถ้าบวชแล้ว หลวงพ่อรับประกันว่าภายใน ๓ ปีจะได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่ได้เป็นนี่จะทุบขวดทุบแก้วใส่ค่ะ น้องเขาก็เลยบวชกัน ก็เหมือนว่าจะได้เป็นพระอริยเจ้าน่ะค่ะ

หลวงพ่อ : ที่มันพูดนี่ มันพูดโปรยทางหนีไว้แล้ว คือ “ถ้าไม่ได้บวชจะทุบขวดทุบแก้วใส่” การทุบขวดทุบแก้วใส่นี้มันมีนะ มันมีในทางพระที่เขาไม่เชื่อกัน พระที่เขาไม่เชื่อ พระที่แบบว่าเขาเรียกว่าคนหนา เขาไม่เชื่อว่ามรรคผลมี

พอเขาไม่เชื่อว่ามรรคผลนี้มี อย่างครูบาอาจารย์ของพวกเรา เวลาท่านถวายเพลิงแล้ว ท่านเผาแล้วเป็นพระธาตุนี้ เขาก็ว่า “นี่ทุบแก้วใส่ เอาขวดเอาแก้วใส่” แบบว่าตอนแก้วมันโดนความร้อนมันก็เป็นอย่างนั้นไง

ไอ้พูดอย่างนี้คือมันพูดเหมือนไม่รับผิดชอบไง มันไม่รับผิดชอบ คือถ้าไม่ได้เป็นกูจะทุบขวดทุบแก้วใส่ ทุบขวดทุบแก้วนี้ เราไม่ต้องทุบขวดมันก็เป็นขวด แก้วมันก็เป็นแก้วอยู่แล้ว ทุบทำไม

“ต่างคนต่างกลับไปสู่สถานะเดิมของเขา นี้มันก็ถูกต้องใช่ไหม” ขวดก็เป็นขวด แก้วก็เป็นแก้วอยู่อย่างเดิมใช่ไหม มนุษย์ที่เป็นมนุษย์ที่มีการศึกษา ก็ควรจะศึกษาให้มันจบ มีการศึกษาขึ้นมาอย่างเดิม มันก็ไม่มีปัญหาขึ้นมาใช่ไหม แต่นี้เวลาคนจะฉ้อฉล ไปเอาสิ่งใดมาจับมั่ว มาปู้ยี้ปู้ยำจนจับสัพเพเหระ จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย

“กวนน้ำให้ขุ่น แล้วก็เอาประโยชน์ในน้ำนั้น” ชีวิตคนนะ เอาชีวิตคนมาปู้ยี้ปู้ยำอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นการศรัทธาของเขา

เรานี่นะ อยู่ที่โพธาราม... มี ! ถ้าบางคนที่มีความรับผิดชอบนะ ถ้าเขาอยากบวชเราไม่ให้บวชหรอก เราบอกไม่ให้บวช บอกว่าเอ็งต้องทำหน้าที่รับผิดชอบ แล้วเขาก็ดูแลจนลูกเขาทำงานหมดแล้ว เขาถึงจะมาบวช เราก็ให้บวช

ถ้าเอ็งสร้างปัญหาไว้อย่างนี้ เห็นไหม กู้มาเรียน พ่อแม่ก็กู้มาส่งเสีย เรียนไปครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็บวช ไอ้พ่อแม่ก็ต้องไปหาเงินมาใช้เขา มึงทำอะไรกัน

ถ้าเอ็งจะเป็นพระอรหันต์ เอ็งจะเป็นพระโสดาบันนี้ เอ็งเรียนให้จบแล้วมาบวชนี่ แหม... พ่อแม่ก็จบกันไป ถ้าบวชไปแล้ว ถ้าดีก็ดีไป ถ้าไม่ดี เอ็งก็จบการศึกษาแล้วใช่ไหม เอ็งก็ยังมีสิทธิในการทำมาหากินได้

เราต้องคิดถึงหัวใจของเขาบ้างสิเว้ย หัวใจของคนที่มาเสี่ยง ถ้าหัวใจของคนที่มาเสี่ยง ถ้าดี มันก็ดีไป ใช่ไหม นี่พูดถึงถ้าดีก็ดีไป ถ้าไม่ดี หรือว่าปฏิบัติไปไม่ได้ เขาก็ยังมีโอกาสกลับไปทำหน้าที่การงานของเขา

ถ้าคนที่เขาสมัครใจนะ แต่ถ้าเขาไม่สมัครใจล่ะ โอ้โฮ.. เรื่องสมัครใจบวชนี่ แหม.. ใครจะมาติดคุก เชิญเว้ย มาติดคุกด้วยกันนี่ พอบวชมาแล้วศีล ๒๒๗ นี้ ก็ว่าติดคุกแล้ว ติดคุกวินัยนะ

มา.. ใครอยากติดคุก... มา ! ๒๒๗ นี้จะเอามึงติดคุก ดูหนังก็ไม่ได้ ไปเที่ยวก็ไม่ได้ ไม่ได้ทั้งนั้นเลย มา... ใครอยากติดคุก... มา

โยม : พระอาจารย์คะ แล้วทีนี้เมื่อวันที่ ๘ วันเกิดหลวงปู่สาย วัดป่าพรหมวิหาร ก็เลยได้กราบพระอุปัฏฐาก ท่านก็เลยเล่าให้ฟังว่ารู้จัก......... เหมือนกัน ท่านก็เลยเล่าให้ฟังว่าท่านรู้จากทางพระอาจารย์วันชัย ภูสังโฆ ท่านบอกว่า หลวงตาเคยบอกว่า คือเหมือนว่า.......มาถามหลวงตาเกี่ยวกับธรรมะ หลวงตาก็ อือ ! อือ ! คือเหมือนว่าดี แล้วก็ไปหาหลวงพ่อวันชัย ที่ภูสังโฆ เหมือนว่าอยากให้ไปรับรองอีกทีหนึ่งค่ะ หลวงพ่อวันชัยก็เลยไม่มั่นใจ ก็เลยกลับมาหาหลวงตา หลวงตาก็เลยบอกว่า “มันเอาธรรมะของเรามาตบปากเราเอง” ซึ่งก็ตรงกับมีน้องในชมรมคนหนึ่งมาถามพระในวัดป่าบ้านตาดค่ะ ท่านก็พูดเหมือนกัน หลวงตาก็พูดแบบนี้ค่ะ

หลวงพ่อ : ใช่ เรื่องนี้จะบอกว่า ถ้าเราพูดอะไรไปก็เหมือนกับว่าเราเพ่งโทษเขาไง เรื่องที่โยมพูดนี่นะอย่างมาก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ เรารู้เยอะกว่านั้นอีกเยอะแยะเลย เรารู้มากกว่าที่โยมพูดอีกเยอะแยะเลย

โยม : ขอพระอาจารย์เมตตา เพราะว่าตอนนี้น้องไม่ออกค่ายที่ไหนเลยค่ะ ไปที่เดียว เผื่อเราจะได้เป็นข้อมูล เพื่อเขาจะได้ถอยห่างออกมาค่ะ จะได้เห็นโทษค่ะ

หลวงพ่อ : “กาลามสูตร” พระพุทธเจ้าบอกไว้ในเรื่องกาลามสูตร คือไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าพูด ให้พิสูจน์ แล้วอย่างที่ว่านี้ ทำไมเราไม่ไปพิสูจน์ที่อื่นๆ บ้างล่ะ ที่อื่นมีให้พิสูจน์อีกนะ

อย่างเช่นตอนนี้เลย โยมนะออกค่ายเลย ไปหาหลวงปู่จันเรียนสิ ไปหาหลวงปู่จันเรียนเลย แล้วถามอย่างนี้เลย แล้วหลวงปู่จันเรียนท่านจะพูดไปอีกแนวทางจริงไหม “นี่ไง กาลามสูตร” ให้เราฟังข้อมูลหลายๆ ด้านสิ ฟังหลวงปู่จันเรียนสิ ไปหาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นเพชรน้ำหนึ่ง ที่ท่านเป็นของจริง ท่านจะพูดให้เป็นเหตุเป็นผล ให้เราได้คัดเลือกไง

เราฟังความอยู่ข้างเดียว แล้วกรณีอย่างที่โยมพูดนะ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวให้ปิดนี่ก่อน ปิดนี่แล้วเดี๋ยวเราจะพูดให้ฟัง

มันมีตัวตนหมดนะ มีตัวตนอย่างที่เป็นๆ กันมานี่แหละเยอะแยะ ไอ้อย่างที่ว่านี้ ประสาเรา เห็นไหม อย่างเช่นหลวงปู่ลีนี้ หลวงตาท่านบอกเลย “เศรษฐีธรรม เศรษฐีธรรม” สังเกตได้ไหมว่าหลวงปู่ลีนี้ท่านหาเงินหาทองช่วยหลวงตา แล้วท่านเคยให้หลวงตาไปนั่งถ่ายรูปด้วยกับหลวงตานี่ เคยมีไหม

ความจริงนี่เห็นไหม คือ เราทำความดีแล้ว เราไม่ต้องการผลตอบแทน นั่นคือความดีแท้ แล้วเราจะได้ผลประโยชน์มหาศาลเลย แต่ความดีที่เราทำกัน เราทำเพื่อต้องการให้คนรับประกัน เพื่อให้คนรับรอง ต้องมีหลักฐาน ต้องมีการถ่าย ต้องมีการเก็บเอาไว้เต็มไปหมด แล้วนั่นเป็นความดีจริงหรือเปล่า มันเป็นความดีที่เราไม่เชื่อตัวเองว่าเราเป็นความดีไง

แล้วอย่างที่เวลาเขาทำกัน เห็นไหม หลวงตารับรองๆ รับรองไหนวะ แล้วถ้าหลวงตารับรอง ทำไมต้องหลวงตารับรองล่ะ ทำไมเราพูดเองไม่เป็นเหรอ ทำไมเราทำอะไรเองไม่ได้เหรอ เฮ้อ... ฟังแล้วเศร้าใจ

โยม : แต่ที่เราเอะใจก็คือ นอกจากพระอาจารย์แล้ว ยังมีครูบาอาจารย์อีกหลายองค์ ที่มีปัญหากับ.......ค่ะ อย่างเช่นลูกศิษย์...... ลูกศิษย์...... ที่ว่าลูกศิษย์ท่านเป็นฆราวาส คือ ไปภาวนากับ......แล้วกระดูกเป็นพระธาตุด้วยค่ะ แต่.......ก็มามีปัญหากับท่านค่ะ แล้วก็........ ก็พูดว่า ท่านก็รู้จัก “ว่าพระที่ชอบพูดแวดๆๆ ว่าให้แต่คนอื่นนั้นเหรอ” วิปลาสหรือถึงมาพูดแบบนี้ค่ะ

หลวงพ่อ : ถ้าเราฟังอย่างนี้แล้ว เรายังเชื่ออยู่เหรอ เราก็ต้องคิดดูแหละ เราก็ต้องคิดของเราดู อย่างเช่น ถ้าพูดถึงโลกธรรม ๘ นี่นะ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนี่มันก็มีบ้าง อย่างเช่นครูบาอาจารย์เรา ก็มีคนที่แบบว่า ทำไม่ถูกต้องในมุมมองของเขา ทีนี้ในมุมมองของเขานี้เราก็ชั่งน้ำหนักได้ไงว่าในมุมมองของเขานั้น มุมมองด้วยอะไร

“มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด” เห็นไหม

สังเกตได้เวลาไปหาพระนี่ พระต้องเรียบร้อย เขาเรียก “สมณสารูป” แต่ครูบาอาจารย์เรา เวลาแสดงธรรมนี่มันออกหมดเลย เขาก็บอกว่า อย่างนี้ใช้ไม่ได้ อย่างนี้คือ “โทสะ” แล้วมันเป็นโทสะจริงเหรอ ถ้าโทสะนี่มันต้องทำเพื่อให้สมกับโทสะที่มันเกิดขึ้นนั้น

โทสะคือเราโกรธ เราไม่พอใจสิ่งใดเราก็ทำสิ่งนั้น แต่นี่เวลาพูดแล้วเสียงดัง เหมือนอาจารย์สอนนักศึกษาเลย เวลาอาจารย์สอน บางทีเราต้องมีอุบาย เราต้องจริงจัง เพื่อให้นิสิต เพื่อให้นักศึกษามันได้ปัญญา

เวลาเทศน์นี่มันก็มีอยู่บ้าง หลวงตาบอกว่า “มันเป็นพลังของธรรม” คือพลังความจริงจัง พลังคำพูดที่มันให้ดูดดื่ม ให้มันกินใจ แล้วมันออกอย่างนี้ แต่โลกเขาไม่เข้าใจ

เราจะบอกว่า นี่ภาษาธรรมะเรียกว่า “มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด” ถ้าทางโลกเขาต้องสงบเสงี่ยมเรียบร้อย อย่างนั้นคือ “สมณสารูป” แต่เวลาแสดงธรรม นี่เป็นพลังของมันที่มันให้ผลมา ถ้าอย่างนี้เราไม่เข้าใจมันก็เป็นได้ นี่พูดถึงมุมมองไง แล้วมุมมองนี่ถ้าเรายังไม่รู้ เราก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าเรารู้แล้ว เราเข้าใจได้ เห็นไหม

จะให้เข้าใจ คำว่า “มรรคหยาบ - มรรคละเอียด”

ฉะนั้นเราจะบอกว่า ในมุมมองต่างๆ นี้มันมีเยอะมาก เฮ้อ... เขาเรียกว่าสายบุญสายกรรมด้วยแหละเนาะ มันเป็นเวรกรรมไง เวรกรรมให้เราประสบไปพบเจออย่างนั้น แต่พอพบเจอแล้วมันอยู่ที่วุฒิภาวะด้วย ถ้าเด็กที่มันไม่มีวุฒิภาวะ มันก็เชื่อได้ง่าย มันก็เป็นประโยชน์ของเขา

มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้หมายถึงว่า เวลาเราไปโดนอะไรจี้เข้า มันจะสอนให้เราเข้มแข็งขึ้นมา คือ ถ้ามันผิดบ่อยๆ มันก็จะรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่มันบ่อยไม่ไหวไง เพราะว่ามันเป็นโอกาสในชีวิตนะเว้ย ชีวิตนี้มันเขวไปเลย แล้วมันเสียไปเลย ถ้าชีวิตมันเขวไปเลยล่ะ

ถ้ากรณีอย่างนี้ เราไปดูที่ปทุมธานี เห็นไหม นั่นก็เป็นอีกแบบหนึ่ง อันนี้ก็ไปอีกแบบหนึ่ง เพราะโลกมันเป็นอย่างนี้

เราจะบอกว่า “โลกนี้ของกูเว้ย” ให้กูไปแบกไว้หมด กูก็ไม่ไหว แต่ถ้าจะให้แจง เราก็แจงอย่างนี้แหละ

เราจะบอกนะ อย่างที่เขาว่าเป็นโสดาบัน เป็นอะไรนี้ เราไม่เชื่อหรอก ดูสิ กว่าเราจะมาเรียนถึงระดับนี้ได้ เราต้องเรียนมาตั้งแต่อนุบาล กว่าจะผ่านมาถึงระดับนี้ แล้วอยู่ๆ จะเป็นโสดาบันนี่ มันเป็นได้อย่างไรวะ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

แต่ถ้าคนที่มันจะเป็นไปได้จริง อย่างเช่น หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะนี้พรรษา ๒ ท่านเป็นสกิทาคาแล้ว แล้วท่านไปพูดให้หลวงปู่กงมาฟัง ตอนอยู่กับหลวงปู่กงมา ท่านบอกว่าต้องให้หลวงปู่มั่นเท่านั้น ท่านขึ้นจากจันทบุรีนี้ ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่เลย ไปเล่าให้หลวงปู่มั่นฟังเลย

“ข้าน้อย...พิจารณากายอย่างนั้นๆๆ ข้าน้อยขาดอย่างนั้นๆๆ”

“เอ้า... ว่าไป”

“ข้าน้อยทำอย่างนั้นๆ”

พอหลวงปู่มั่นบอกถึงขั้นที่ ๒ ท่านก็ถาม “ให้ข้าน้อยทำอย่างไรต่อไป”

“ก็พิจารณากายอย่างนั้นแหละ พิจารณาซ้ำไปอย่างนั้นแหละ”

เพราะมันมีกายนอก เห็นไหม “พิจารณากาย...กายนอก... กายใน... กายในกาย” หลวงปู่เจี๊ยะพูดกับเราประจำ ว่าหลวงปู่มั่นฟังแล้วท่านไม่ค้านผมซักคำเดียวเลย หลวงปู่มั่นไม่บอกว่าหลวงปู่เจี๊ยะผิดแม้แต่คำเดียวเลย

นี่เห็นไหม ๒ พรรษาได้ ๒ ขั้น...มี แต่ ! แต่ต้องเป็นของจริงไง แต่ถ้าเป็นของจริงก็อย่างที่ว่านั่นแหละ เป็นโสดาบันขึ้นมานี่ต้องถามว่า “มึงเป็นโสดาบันนี่เป็นอย่างไร”

ถ้าคนที่มันไม่เคยพบไม่เคยเห็นนะ มันจะพูดผิดหมด มันเป็นไปไม่ได้หรอก คนที่ไม่เคยมาบ้านตาดนี่ มันจะคุยโม้ว่าบ้านตาดเป็นอย่างนั้น.. เป็นอย่างนั้น มึงพูดไปเถอะ เอ็งก็พูดของเอ็งไป มันไม่จริงหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ทีนี้เพียงแต่ที่มันเป็นอย่างนี้ เพราะมันไม่มีใครสอบใครไง พอไม่มีใครสอบแล้วมันก็เป็นกันไป ถ้ามันเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคาจริง ทำไมขนาดอนาคายังสึกเลย

ความจริงนะ “ถ้าในวงกรรมฐานนี่เขาไม่ให้มีพูดผิดเลยแม้แต่คำเดียว” ถ้าพูดผิด มันเป็นสัญญา มันเป็นความจำ ไอ้นี่พอมีอนาคาสึก มันก็จบแล้ว ไม่ต้องไปฟังอีกแล้ว

ถ้ารับประกันนะ มันก็เหมือนมหาวิทยาลัย ไปมอบใบประกาศให้เป็นดอกเตอร์ แล้วพอไปถึงวันหนึ่ง เขาพิสูจน์แล้วว่าใบประกาศนี้เป็นใบประกาศปลอม มหาวิทยาลัยนี้มันจะอยู่ได้ไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน อนาคา สึก มันก็เหมือนกันแหละ เครดิตมันหมดแล้ว ถ้ามึงยังเชื่อกันอยู่ก็ โอ้โฮ...

โยม : แต่พวกเราก็จับได้ว่าท่านโกหกด้วยค่ะ คือท่านมีการพูดสนทนาธรรม มีคนถามธรรมะท่าน แล้วท่านตอบไม่ได้ ท่านก็เลยว่าท่านไม่ได้เรียนอะไร ท่านไม่ได้นักธรรมตรี นักธรรมตัวอะไรเลย แต่พอเข้าไปเสิร์ชในเน็ต ก็พบว่าท่านได้นักธรรมตรีแล้วค่ะ ก็ว่า เอ๊ะ... ทำไมท่านถึงโกหก

หลวงพ่อ : อันนี้ไม่ได้แล้วแหละ “สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ” เพราะพระโสดาบันขึ้นไปนี้ ศีลมันก็เต็มที่อยู่แล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา เราเคยพูดกับพวกโยมที่ไป ว่าไม่มีอะไรหรอก ในตัวเขาไม่มีอะไรเลย ถ้ามีเขาจะไม่ทำอย่างนี้

พระอริยเจ้านะ จะมีเมตตามาก จะเห็นคุณค่าของชีวิตมาก จะเห็นคุณค่าระหว่างพ่อ แม่ ลูกนี้จะเห็นคุณค่ามาก ไม่ไปทำลายหรอก ไปดึงลูกเขามา แล้วทำลายหัวใจพ่อแม่นี่ ไม่มีใครเขาทำหรอก แต่ถ้าเป็นหลวงปู่มั่น เห็นไหม ถ้าเด็กคนไหนมันมีแววขึ้นมา ท่านก็ต้องพยายามเอาเด็กมา

อย่างเช่น แม่ชีแก้ว หลวงตาเล่าประจำ ตอนที่แม่ชีแก้วเป็นเด็กสาวๆ แล้วเด็กสาวๆ เวลาใส่บาตรมันอยู่ปลายแถวไง หลวงปู่มั่นท่านไม่พูดกับใครนะ ทีนี้พอไปเจอเด็กคนนี้ ไปคุยกับเด็กคนนี้ นี่พูดอย่างนี้เป็นคตินะ ไม่ได้พูดลบหลู่ครูบาอาจารย์ เราพูดเป็นคติ

หลวงตาเล่าตอนหลวงปู่มั่นท่านไปคุยกับเด็กผู้หญิง เวลาเด็กใส่บาตรนี่ แล้วหลวงปู่มั่นไปพูดด้วย “ไปวัดนะ เดี๋ยวไปวัดด้วยกัน” ชาวบ้านเขาร่ำลือว่าหลวงปู่มั่นไปจีบสาว แต่ไม่มีใครรู้ว่าเด็กแม่ชีแก้วนี้ภาวนาดี พอไปถึงวัดนะ ท่านถามว่า “เมื่อคืนภาวนาเป็นอย่างไร” แม่ชีแก้วไม่กล้าเล่าเลยว่าแม่ชีแก้วทำอะไรไป นึกว่าฝัน เพราะว่าตัวเองมันเห็นนิมิต เห็นทุกอย่าง เห็นของจริงหมด แต่ตัวเองไม่กล้าพูด หลวงปู่มั่นลากไส้ออกมาพูดหมดเลย เป็นอย่างนั้นๆๆ แล้วให้ภาวนาไป เห็นไหม แต่ชาวบ้านไม่รู้เรื่องไง ชาวบ้านว่าหลวงปู่มั่นไปจีบสาว นินทากันทั้งหมู่บ้านเลย

แล้วพอเอาแม่ชีแก้วไปวัดบ่อยๆ พอถึงเวลาแล้วท่านจะออกธุดงค์ต่อไง ท่านบอกว่าอย่าภาวนานะ ให้เลิกภาวนาซะ ถ้ามันจะมีครอบครัว มันจะมีทุกข์มียาก ก็ให้มันแล้วแต่กรรมของสัตว์เถอะ นี่ดีนะเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายเราจะเอาบวชเป็นสามเณรไปกับเรา แต่เป็นผู้หญิงมันลำบากไง ถ้าจะมีเหย้ามีเรือน ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมเถอะ แล้วท่านก็ตบท้าย เห็นไหม “เอ้อ... โอกาสหน้าจะมีคนมาสอนหรอก”

สุดท้ายหลวงตาก็ไปสอน มันก็มี นี่สายบุญสายกรรมมันก็มีมา แล้วแม่ชีแก้วเป็นพระอรหันต์ไง แต่มีครอบครัวไปแล้วนะ สุดท้ายแล้วก็ต้องขอสามีมาบวชไง ขอสามีมาอยู่วัด แล้วถือศีล ๘ แล้วที่อยู่ในประวัติแม่ชีแก้ว เห็นไหม พอบวชไปแล้ว สามีจะมาแตะ ไม่ยอมให้แตะเลย

นี่เพราะว่ามันอยู่ที่หัวใจ อยู่ที่ความมุ่งมั่น นี่ถ้าเป็นธรรมจะเป็นอย่างนี้ พระอริยเจ้าต้องมีเมตตาธรรม จะเห็นชีวิตของพวกโยมนี้มีค่ามาก เอ้า... จะไปชมรม จะไปก็ไป ฟังเทศน์แล้วถ้ามีใครศรัทธา คือมันตามเนื้อผ้า มันตามความเป็นจริงไง

แล้วดูอย่างหลวงตาสิ ถ้าใครจะบอกให้ไปนู้น อย่างใครจะมาตามหลวงตาให้ไปวัดนู้น วัดนี้ หลวงตาบอก “ไปนู้น ใครอยู่เย็นสุขสบายให้อยู่ที่นั่นนะ” เพราะ ๖๐-๗๐ ล้านคน มึงจะมาสุมอยู่ในวัดเดียวไม่ไหวหรอก ไม่สร้างวัดนี่อยู่ไม่ไหวหรอก เขามีแต่ให้กระจายกันออกไป ทางวิชาการมันจะได้เจริญเติบโตใช่ไหม มันมีหลายๆ มุมมองใช่ไหม

โอ้... เวรกรรม ไอ้นี่พูดถึงพวกเรา กรณีอย่างนี้เนาะ กรณีเพราะว่ามันเป็นเด็ก พอเป็นเด็กแล้ว ประสาเราว่าประสบการณ์ ถ้าเจออันไหนที่คิดว่าดีก็กอดเลย ก็ว่าจะใช่ จะใช่ ถ้าใช่จริงๆ เราก็สาธุนะ

“ศากยบุตร พุทธชิโนรส ศาสนทายาท คือ ทายาทโดยธรรมนี้มันจะช่วยเหลือกัน เจือจานกัน” แต่ถ้ามันไม่เป็นทายาท มันเป็นอสูรไง มันไม่ไหวนะ

จริงๆ นะ เขาโกงเงินโกงทองกัน เรายังถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเลย แต่ถ้าเขาโกงชีวิต นี่คือมันโกงชีวิตทั้งชีวิตเลยนะ เพราะอะไร เพราะเขาทำให้มุมมองเราเป็นอย่างนี้ใช่ไหม พอมุมมองเป็นอย่างนี้ เราก็เชื่ออย่างนี้ใช่ไหม พอเราเชื่ออย่างนี้ไปนะ มันก็ดึงมุมมองเราไปหมดใช่ไหม ชีวิตเราหมดเลยนะ ไอ้นี่มันโกงโอกาส โกงชีวิตเราไปเลยล่ะ แต่ถ้าเป็นความสมัครใจของเรา อ้าว... เราสมัครใจ เราอยากลอง เอ้อ... โอเค มาเลย ไม่ต้องโกงชีวิตหรอก

ทางนู้นเขาก็มีอย่างนี้ เราก็พูดนี่แหละ เราบอกว่าชีวิตนี้มันต้องมีอิสรภาพเว้ย “จมูกเอาไว้หายใจ จมูกไม่ได้เอาไว้ให้สนตะพาย” ไอ้นี่จมูกก็เอาไว้สนสะพายนะ ให้เขาดึงไปหมดเลย

โยม : อาจารย์คะ แล้วที่ครูบาอาจารย์บอกว่า “วิปลาส” นี่หมายถึงอย่างไรคะ ที่ว่าท่านวิปลาส

หลวงพ่อ : วิปลาสมันมีหลายอย่าง “วิปลาส คือ ความเห็นผิด” เวลานี่เขาเรียกว่า “วิปัสนูกิเลส” คือ เวลาเทศน์ธรรมะ เราฟังไม่เป็นนี่มันพรั่งพรูเลยนะ แต่นั่นแหละ “วิปัสนูกิเลส”

คือว่าเวลามันออกมาแล้ว มันออกมาแบบเหมือนคนบ้าไง สังเกตคนบ้าไหม มันนั่งพูดได้ทั้งวันเลย “วิปัสนูกิเลส” มันก็ไหลออกมาอย่างนั้นแหละ แต่เนื้อหาสาระไม่มี มันเป็นการออกมาโดยเป็นภาษาพูดไง ฟังแล้วเหมือนธรรมะนะ แต่ไม่มี

“วิปัสนูกิเลส” พูดได้ทั้งวันทั้งคืนเลยนะ พูดได้ตลอดเลย